วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความรู้เรื่องคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)



สารประกอบคลอโรฟิลล์ ได้รับการค้นพบสูตรโครงสร้างทางเคมีครั้งแรก เมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ศาสตราจารย์ ฮาน์ส ฟิชเชอร์ (Hanns Fisher,M.D.)และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล (Noble's Prize)

เนื่องจากสามารถใช้ความเล้นลับของคลอโร ฟิลล์ได้สำเร็จ และจากการค้นพบดังกล่าวทำให้เราทราบว่า สูตรโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับสูตรโครงสร้างของสารประกอบ ฮีม(Heme) ที่เป็นโครงสร้างหลักของเม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell) ของคนเราอย่างมาก และจาการวิจัยทางการแพทย์หลายการวิจัยก็ยืนยันได้ว่า ร่างกายของคนเราก็สามารถนำเอาสารคลอโลฟิลล์นี้ไป เป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการสร้างเม็ดเลือดแดงได้เมื่อร่างกายต้องการ โดยเฉพาะในภาวะที่ร่างกายของเราเกิดความบกพร่องในการสร้างเม็ดเลือดแดง เนื่องจากขาดสารอาหาร อย่างเช่น ในภาวะโลหิตจาง (Anemia) ฯลฯ

ปกติ แล้วในร่างกายของคนเราจะต้องมีการสร้างและทำลายมากกว่า 2.5 ล้านเซลล์ และร่างกายจะต้องสร้างขึ้นมาทดแทนในจำนวนที่เท่าๆกัน และยิ่งในคนที่ร่างกายต้องทำงานหนัก ยิ่งพบว่าการทำลายของเม็ดเลือดแดงในร่างกายของคนเราก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

ดัง นั้นภาวะที่ร่างกายของเราก็อาจจะเกิดความบกพร่องในการสร้างเม็ดเลือดแดง เนื่องจากขาดสารตั้งต้นในการสร้าง และหากปล่อยให้เกิดความบกพร่องดังกล่าวนานๆ ก็อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆต่อร่างกายของเราตามมาได้ ทั้งนี้เนื่องจากการที่เม็ดเลือดแดงถือเป็นระบบขนส่งสารอาหารที่สำคัญที่สุด ในร่างกาย ดังนั้นหากขาดเม็ดเลือดแดงก็อาจจะทำให้ร่างกายเกิดความบกพร่องในการทำงานของ เซลล์และอวัยวะต่างๆได้

มนุษย์ เราเริ่มใช้คลอโรฟิลล์ในการแพทย์เมื่อปี 1940 พร้อม ๆ กับที่ใช้เป็นยาสีฟัน ยาดับกลิ่นปาก และได้มีการใช้คลอโรฟิลล์ในการบำบัดโรค เช่นรักษาโรคทางเดินอาหาร ลำไส้ใหญ่ โรคผิวหนังชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะแผลเรื้อรังบทบาทในการสมานแผล

กล่าว คือคลอโรฟิลล์สามารถใช้รักษาแผล เรียกเนื้อให้แผลหายเร็วกว่าปกติ มีบทบาทเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทั้งยังดับกลิ่นเหม็นของแผล และสามารถทำความสะอาดแผลให้สะอาดได้ดีกว่ายาตัวอื่น


--สนใจสั่งซื้อคลอโรฟิลล์ ---

Ester C มีอะไรที่มากกว่า Vitamin C



วิตามินซี (Vitamin C) คืออะไร
ประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง

ประโยชน์ของ วิตามินซี

เราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น


--- สนใจสั่งซื้อ Ester C --- 
โปรไบโอติกส์ (Pro Biotic)  มีความหมายว่า   “เพื่อชีวิต” เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ดี  ยกตัวอย่างเช่น  แลตโตบาซิลลัส  (Lactabacillus)  และไบฟิโดแบคทีเรีย  (Bifidobacterium)

หน้าที่ของโปรไบโอติกส์  จะเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร  โดยเฉพาะบริเวณปลายลำไส้ใหญ่  โดยจะช่วยรักษาความสมดุลระหว่างแบคทีเรียดีและแบคทีเรียไม่ดี  และยังช่วยขับของเสียออกจากลำไส้  ถ้าเรามีแบคทีเรียไม่ดีจำนวนมาก  ร่างกายของเราจะเริ่มมีกรดและของเสียในลำไส้มากขึ้น  ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้  โดยเฉพาะในกรณีที่เราต้องกินยาปฏิชีวนะ  ยาจะเข้าไปฆ่าแบคทีเรียที่ดี  รวมทั้งโรคต่างๆ ด้วย  ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเลือกรับประทานอาหารโปรไบโอติกส์  เพื่อช่วยรักษาความสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้หลังจากกินยาปฏิชีวนะเข้าไป

อาหารโปรไบโอติกส์  เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการหมักดอง  ซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้เกิดแบคทีเรียสายพันธุ์ดี  ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะเมื่อเรารับประทานเป็นประจำในปริมาณที่ มากพอ  ในยุโรป และเอเชีย  ล้วนต่างมีอาหารโปรไบโอติกส์  ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติมาเป็นเวลานานแล้ว  เช่น  คนยุโรปมักนิยมบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของ

โปรไบโอติกส์  เช่น  ชีส  โยเกิร์ต  และผักดอง  (เช่น  เซาเออร์เคราท์ของเยอรมนี)  อาหารโปรไบโอติกส์ใน อเมริกาก็คล้ายกันกับยุโรป  ผู้คนบางส่วนจึงนิยมเลือกทานโปรไบโอติกส์ที่ทำเป็นแคปซูลสำเร็จ  เพราะสะดวกต่อการบริโภคและพกพา  สามารถหาซื้อได้ตามร้านขสยของเพื่อสุขภาพในเอเชียของเรา  อย่างเกาหลีจะมีกิมจิเป็นอาหารประจำชาติมานานหลายร้อยปี  ส่วนญี่ปุ่นกับจีนจะมีอาหารหมักหลายสไตล์  เช่น  ผักเกี้ยมไฉ่  เต้าเจี้ยว  สำหรับในบ้านเรา  อาหารโปรไบโอติกส์ที่เป็นที่นิยมกันมานานแล้ว  เช่น  ข้าวหมัก  ผักดอง  เต้าเจี้ยว  แหนม  ฯลฯ

สรุปประโยชน์ของ โปรไบโอติกส์ มีดังนี้

1. ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ที่เป็นโทษ โดยการแย่งที่เกาะหรือแย่งอาหารหรือทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม อันเป็นการช่วยลดสารพิษที่เชื้อจุลินทรีย์เหล่านั้นผลิตขึ้น
2. ผลิตสารต้านการเจริญเติบโตและตั้งถิ่นฐานของจุลินทรีย์ที่เป็นโทษ
3. ผลิตเอนไซม์ที่มีผลในการทำลายสารพิษในอาหาร หรือที่เชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นโทษผลิตขึ้น
4. กระตุ้นในเกิดภูมิต้านทานต่อโรคของสัตว์
5. ผลิตเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารเพิ่มเติมให้แก่สัตว์

Calcium Magnesium Zinc เพื่อกระดูกที่แข็งแรง

 
 
แคลเซียม คืออะไร
หากจะให้บอกถึงเกลือแร่สักตัวหนึ่งที่มีประโยชน์มากๆ ต่อร่างกายหนึ่งในนั้นจะต้องมี แคลเซียม เรารู้จัก แคลเซียม มานานในแง่ของการช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อไม่นานนี้มีงานวิจัยตัวหนึ่งได้พบว่า แคลเซียม สามารถช่วยต่อต้านได้อย่างดีต่อ ความดันโลหิตสูง อาการหัวใจกำเริบ อาการปวดก่อนมีประจำเดือน และ มะเร็งลำไส้ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่รับประทาน แคลเซียม น้อยกว่าครึ่งของที่ควรจะได้รับต่อวัน

สำหรับคนที่ไม่สามารถรับประทานอาหารที่มี
แคลเซียม สูงได้ ก็สามารถทดแทนง่ายๆ ได้ด้วยอาหารเสริม แคลเซียม ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปและราคาไม่แพง โดยมักจะอยู่ในรูปของ แคลเซียมคาร์บอเนต แคลเซียมกลูโคเนต แคลเซียมซิเตรด แคลเซียมซิเตรดมาเลต แคลเซียมแลคเตต และแคลเซียมฟอสเฟต และปริมาณที่ร่างกายจะได้รับ แคลเซียม จากอาหารเสริมเหล่านี้ก็จะขึ้นกับว่าในแต่ละแบบจะให้ แคลเซียม แก่ร่างกายเท่าไร เช่น แคลเซียม คาร์บอเนตจะให้ปริมาณแร่ธาตุ แคลเซียม ประมาณ 40% แคลเซียมกลูโคเนตจะให้ปริมาณแร่ธาตุ แคลเซียม ประมาณ 9% ทั้งนี้ยังขึ้นกับการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายด้วย มีการค้นพบว่าแร่ธาตุ แคลเซียม ที่ได้จากแคลเซียมซิเตรดจะถูกดูดซึมได้ดีกว่าที่ได้จากคอร์บอเนต

แคลเซียม ” เป็นธาตุที่พบมากที่สุดในทุกส่วนของร่างกาย โดยในร่างกายคน 50 กิโลกรัม จะมี แคลเซียม อยู่ประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งเกือบทั้งหมดจะอยู่ในกระดูกและฟัน ดังนั้นในเวลากล่าวถึงแคลเซียม จึงมักจะนึกถึงเฉพาะกระดูกเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วยังมี แคลเซียม ส่วนอื่นที่อยู่ในเซลล์ที่ไม่ใช่กระดูกอีกประมาณร้อยละ 1 สำหรับหน้าที่ๆ สำคัญของ แคลเซียม ก็คือ การสร้างกระดูก ซึ่งกระดูกทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย รักษารูปร่างและลักษณะของร่างกายให้สวยงาม และยังเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อเป็นเกราะป้องกันอวัยวะภายในต่างๆ ของร่างกายไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน อย่างไรก็ตาม แคลเซียม มิใช่เป็นเพียงตัวเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่สำคัญในการทำงานของเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกายอีกด้วย ได้แก่ การช่วยการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดที่ไหลออกจากบาดแผลเกิดแข็งตัวหยุดไหลได้ นอกจากนี้ แคลเซียม ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจปกติและการส่งสัญญานประสาทที่ถูกต้อง รักษาความสมดุลของกรดด่างในเลือดและความดันโลหิตให้ปกติ

แคลเซียม เข้าสู่ร่างกายอย่างไร
สำหรับการทำงานของ
แคลเซียม จะเริ่มจาก เมื่อร่างกายได้รับ แคลเซียม จากอาหาร ก็จะถูกกรดในกระเพาะทำให้ แคลเซียม แตกตัวได้ดีขึ้นและถูกดูดซึมได้ง่ายขึ้นจากบริเวณลำไส้ส่วนต้น โดยอาศัย Calbindin-D ซึ่งปกติแล้วร่างกายจะดูดซึม แคลเซียม ได้ประมาณร้อยละ 20-40 หลังจากนั้น แคลเซียม จะเข้าสู่เลือดผ่านไปตามระบบไหลเวียนโลหิตแล้วไปสู่อวัยวะต่างๆ ส่วนใหญ่จะเข้าสู่กระดูก นอกนั้นเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะ

โดยปกติทั่วไปแม้ กระดูก จะไม่ยืดตัวให้เห็น แต่จะมี
แคลเซียม ผ่านเข้าออกจากกระดูกถึงวันละประมาณ 700 mg ซึ่งแม้ว่าเกลือแร่ที่ติดอยู่ในกระดูกดูเหมือนจะติดอยู่อย่างถาวร แต่อันที่จริงแล้ว แคลเซียม ในกระดูกจะถูกดึงออกพร้อมกับขบวนการละลายกระดูก (resorption) และเสริมเข้าไปพร้อมกับการสร้างกระดูกใหม่ (formation) อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ขึ้นกับภาวะโภชนาการ ปริมาณ แคลเซียม ความสมดุลของฮอร์โมนและวัย

โดยทั่วไปร่างกายจะพยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะรักษาระดับ แคลเซียม ในเลือดให้ปกติเสมอเพื่อให้อวัยวะต่างๆ ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปกติเปรียบให้ง่ายก็เสมือนว่า ระดับ แคลเซียม ที่ปกติก็คือ จำนวนเงินที่ติดกระเป๋าอยู่สำหรับใช้จ่ายในแต่ละวัน โดย แคลเซียม ส่วนที่ถูกขับออกทางปัสสาวะและ แคลเซียม ที่ใช้เพื่อการซ่อมแซมกระดูกเปรียบเสมือนค่าใช้จ่ายประจำวัน แคลเซียม ในกระดูกเสมือนเงินฝากในธนาคาร แคลเซียม รับจากอาหารเสมือนรายได้ประจำวัน ถ้ารายรับมากกว่ารายจ่าย อาจมีเหลือเก็บในธนาคารซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการสะสม แคลเซียม ในกระดูก ถ้ารายได้น้อยกว่ารายจ่ายก็ต้องถอนจากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายก็จะทำให้เกิดการขาดดุล ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้อยู่เป็นประจำเงินในธนาคารก็จะร่อยหรอไป นั่นก็เปรียบได้กับการที่ร่างกายได้รับ แคลเซียม ไม่พอเพียงต่อความพยายามรักษาระดับ แคลเซียม ให้ปกติ จึงต้องละลาย แคลเซียม จากกระดูกมาเพิ่มให้กับเลือด ทำให้ แคลเซียม ในกระดูกค่อยๆ ลดลง สุดท้าย แคลเซียม หรือเงินที่ติดกระเป๋าอยู่ก็ลดลงจนไม่พอใช้นั่นเอง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าการสะสม แคลเซียม ของร่างกายมนุษย์นั้นเริ่มตั้งแต่ยังเป็นทารกในครรภ์มารดา โดยในแต่ละวัยร่างกายสามารถสะสมปริมาณ แคลเซียม ในระดับที่แตกต่างกัน ดังนี้

► เด็กแรกเกิด - 9 ขวบ มีความสามรถในการสะสม แคลเซียม ได้ 100 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน

► เด็กอายุ 10 ขวบ มีความสามารถในการสะสม แคลเซียม ได้ 100-150 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน

► ช่วงวัยรุ่น มีความสามารถในการสะสม แคลเซียม ได้ 200-400 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน

► ชายและหญิงอายุ 18 ปี มีความสามารถในการสะสม แคลเซียม ได้ 50-100 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน

► ผู้ใหญ่อายุ 30 ปี มีความสามารถในการสะสม แคลเซียม ได้ 0 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว/วัน ซึ่งหมายความว่า หลังจากอายุ 30 ปีไปแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป จึงต้องมีการเติม แคลเซียม ให้ร่างกายเพื่อรักษาระดับ แคลเซียม ในกระดูก

ด้วยคุณสมบัติการทำงานของ แคลเซียม ดังกล่าว นับได้ว่ าแคลเซียม มีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์อย่างยิ่ง ซึ่งในแต่ละสภาวะของมนุษย์นั้น แคลเซียม ได้ให้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆ กัน ดังนี้

ความต้องการของคนแต่ละวัย

หญิงตั้งครรภ์

สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว
แคลเซียม นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก โดยหญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องได้รับ แคลเซียม มากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูกเพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลน แคลเซียม ถ้าไม่สามารถบริโภคอาหารที่ให้ปริมาณ แคลเซียม ได้เพียงพอต่อทั้งแม่และลูกได้ บ่อยครั้งจึงพบว่าหญิงมีครรภ์จะมีอาการกล้ามเนื้อปวดเกร็งในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ที่พบบ่อยคือ บริเวณน่อง โดยจะเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ออกกำลังกายหรือเดินมาก อันเป็นผลมากจากการขาด แคลเซียม นั่นเอง จากการศึกษาพบว่าหญิงตั้งครรภ์เป็นตระคริวถึงร้อยละ 26.8 และส่วนใหญ่เริ่มมีอาการตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 25 สัปดาห์ และอาการดีขึ้นได้อย่างชัดเจนหากได้รับการเสริม แคลเซียม ดังนั้น แคลเซียม จึงเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นยิ่งต่อสภาวะการตั้งครรภ์ เพราะนอกจากจะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษาเสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค กระดูกพรุน ในภายหลังได้

วัยเด็ก
เด็กๆ ต้องการ
แคลเซียม มากกว่าวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอายุ เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน และส่วนอื่นๆ เพื่อใช้เป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยการสะสม แคลเซียม ในเด็กที่หัดพูดจะช้าแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งจากการศึกษาพบว่าถ้าปริมาณ แคลเซียม ในร่างกายเด็กต่ำ จะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนหรือโรคกระดูกค่อมงอได้ โดยเด็กจะมีอาการเหงื่อออกบริเวณศีรษะมากเกินไป การนั่ง คลาน เดิน ทำได้ช้า นอนไม่หลับ กระดูกขาของเด็กที่ได้รับ แคลเซียม ไม่เพียงพอเมื่อรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นตามอายุเป็นผลให้ขาโก่ง กระดูกซี่โครงโค้งงอ กระดูกเชิงกรานมีรูปร่างผิดปกติซึ่งอาการนี้เมื่อเกิดขึ้นกับเด็กแล้วไม่สามารถรักษาให้หายคืนปกติได้ นอกจากจะทำการผ่าตัดใหญ่เท่านั้น สิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ การพัฒนารูปแบบการบริโภคให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอ เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูก ให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้

วัยหนุ่มสาว
จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับ แคลเซียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าร่างกายต้องการ จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรงจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า สิ่งสำคัญคือ การรักษาระดับการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับระดับ แคลเซียม ที่ต้องการเพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต โดยถ้าเราได้รับ แคลเซียม ตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่อยู่ในวัยเดียวกันที่บริโภค แคลเซียม ไม่เพียงพอในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว

วัยสูงอายุ
คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียม อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ 5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุน สูง โดยเป็นโรคที่เป็นผลมาจากการขาดแคลน แคลเซียม ซึ่งบางครั้งอาจทำให้กระดูกหักได้เนื่องจากแบกรับน้ำหนักตัวไม่ไหว และในกรณีที่ร้ายแรงจะก่อผลเสียต่อกระดูกสันหลัง กระดูกต้นขา และกระดูกแขนท่อนนอกได้อีกด้วย โดยโรคดังกล่าวจะไม่แสดงอาการใดๆ ให้ทราบเลยจนกว่าจะมีอาการกระดูกหัก ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้ การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลงหรืออาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้จะเห็นได้ว่า แคลเซียม มีความจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัยด้วยกันทั้งนั้น


--- สนใจสั่งซื้อ Calcium Magnesium Zinc --- 

Multi Vitamin for Men 50 Plus วิตามินรวมสำหรับผู้ชายวัย 50 ขึ้นไป



อาหารเสริมคุณภาพจากอเมริกา สำหรับคุณผู้ชายวัย 50 ขึ้นไปเท่านั้น
เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง คุณภาพเต็มที สารอาหารครบถ้วน ตามฉลากด้านล่างครับ



---สนใจสั่งซื้อ Ultra Man 50 Plus---

Multi Vitamin for Men วิตามินรวมสำหรับผู้ชาย



อาหารเสริมเต็มประสิทธิภาพสำหรับคุณผู้ชายโดยเฉพาะ มีทุกอย่างที่ร่างกายต้องการครับ
ส่วนประกอบดูได้ตามฉลากด้านหลังนี้ครับ



--- สนใจสั่งซื้อ Ultra Man ---

Multi Vitamin for Woman วิตามินรวมสำหรับผู้หญิง



สุดยอดอาหารเสริมสำหรับท่านผู้หญิง
บำรุงทุกด้าน เช่น ผิว ผม เล็บ กระดูก หัวใจ ผิวหน้า อื่นๆ อีกมากมาย
ส่วนประกอบดังต่อไปนี้

Multi Vitamin for Woman 50 Plus วิตามินรวมสำหรับผู้หญิงวัย 50 ขึ้นไป



อาหารเสริมครบสูตรสำหรับท่านผู้หญิงวัยทอง อายุ 50 ปี ขึ้นไป
มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ตามฉลากที่แสดงให้ดูด้านล่างนี้ครับ





--- สนใจสั่งซื้อ Ultra Woman 50 Plus ---

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของ L-Arginine แอล-อาร์จินีน



ประโยชน์ของ L-Arginine (
แอล-อาร์จินีน)

  เป็นกรดอมิโนที่จำเป็นชนิดหนึ่ง ที่มีการค้นคว้าวิจัยอย่างมากในสามสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าเป็นสารอาหารที่จำเป็นในเรื่องสุขภาพทางเพศทั้งในชายและหญิง L-Arginine หากมีปริมาณต่ำจะทำให้ประสิทธิภาพทางเพศและความต้องการทางเพศลดลง L-Arginine ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตเข้าสู่ระบบและปรับปรุงความไวต่อความรู้สึกของ เซลล์ ซึ่งนำมาซึ่งความรู้สึกที่ดี นอกจากนั้นยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้น Human Growth Hormone (HGH) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า L-Arginine ช่วยเพิ่มโกรทฮอร์โมนได้ถึง 300 %

- กระตุ้นการหลั่ง Human Growth Hormone (HGH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตของร่างกาย(ซึ่งร่างกายก็ จะได้ประโยชน์จากโกรทฮอร์โมนอีกหลายอย่างเช่น ช่วยให้มีพลังงานตลอดวัน ดูหนุ่มดูสาว สดชื่น แข็งแรง)

- เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนต่างๆอีกหลายชนิด
- ลดและควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ
- ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- ช่วยเยียวยา รักษาเนื้อเยื่ออ่อน ทำให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวเร็วขึ้น
- กล้ามเนื้อแข็งแรง เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย
- เป็นสารตั้งต้น ในการสร้าง Nitric Oxide ซึ่งจะช่วยเรื่องการไหลเวียนและการสูบฉีดโลหิตของร่างกายโดยการเพิ่มการขยาย ตัวของหลอดเลือด และกล้ามเนื้อจะรับสารอาหารและออกซิเจนได้มากขึ้น
- ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศที่ดี เพิ่มสมรรถภาพทางเพศชาย เพิ่มจำนวนเชื้ออสุจิ ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคุณกับคู่รัก



--- สนใจสั่งซื้อ L-Arginine ---
 

แมกนีเซียมคืออะไร What is Magnesium



แมกนีเซียมคืออะไร

แมกนีเซียม เป็นสารอาหารประเภทเกลือแร่ (Mineral) ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มเกลือแร่ที่มีมากในร่างกาย (Macronutrients หรือ Principal elements) ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในโครงสร้างกระดูกมีธาตุ แมกนีเซียม เป็นองค์ประกอบประมาณ 25 กรัม หรืออาจมากกว่านี้ และเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ต่างๆ กล้าม เนื้อ สมองและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่างๆ แมกนีเซียม ส่วนใหญ่ในร่างกาย (60-70%) พบในกระดูก ส่วนที่เหลืออีก 30% พบในเนื้อเยื่ออ่อนและของเหลวในร่างกาย แมกนีเซียม มักอยู่ในของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ (Intracellular fluid) เช่นเดียวกับโพแทสเซียม ประมาณร้อยละ 35 ของแมกนีเซียมในเลือดจะรวมอยู่กับโปรตีน เด็กแรกเกิดมี แมกนีเซียม ต่ำ และเมื่อโตขึ้นจะมี แมกนีเซียม มากขึ้น

แมกนีเซียม เป็นโคแฟกเตอร์ (Co-factor) ที่สำคัญของเอ็นไซม์ในร่างกายไม่น้อยกว่า 300 ชนิด เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีนต่างๆ ในร่างกาย และเป็นเกลือแร่ที่มีโอกาสขาดได้ง่ายรองจาก แคลเซียม หากร่างกายได้รับไม่เพียงพอจะมีโอกาสเป็น โรคหัวใจ มากขึ้น แมกนีเซียม ยังทำหน้าที่ในการส่งผ่านกระแสประสาท จึงช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับสมองได้ เช่น ซึมเศร้า ไมเกรน เครียด เป็นต้น และมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างคือเป็นตัวช่วยในการสะสม แคลเซียม เข้ากระดูก และลดความรุนแรงของ โรคหัวใจ วายเรื้อรัง
แต่เป็นที่น่า เสียดายที่มีน้อยคนมากๆ ที่จะได้รับ แมกนีเซียม อย่างเพียงพอต่อวันจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เนื่องจากอาหารที่ปรุงส่วนใหญ่จะมีแร่ธาตุนี้อยู่น้อย การรับยาบางชนิดก็ส่งผลให้เกิดขาดแร่ธาตุ แมกนีเซียม อีกทั้งโรคบางชนิดเช่น เบาหวาน โรคติดเหล้า ก็ส่งผลให้เกิดการขาดแร่ธาตุ แมกนีเซียม ได้เช่นกัน
ดัง นั้นการรับประทานในรูปแบบอาหารเสริมก็จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าร่างกายได้รับ แมกนีเซียม อย่างเพียงพอ ซึ่งเราจะพบ แมกนีเซียม ในรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น แมกนีเซียมซิเตรด แมกนีเซียมแอสพาเตรด แมกนีเซียมคาร์บอเนต แมกนีเซียมกลูคอเนต แมกนีเซียมออกไซต์ และแมกนีเซียมซัลเฟต
หน้าที่และ ประโยชน์
แมกนีเซียม เปรียบเสมือนคนงานที่ทำงานแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพียงเพื่อจะสังเคราะห์ โปรตีนให้ร่างกาย และเป็นโคเอนไซม์ที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่งในร่างกายที่จะทำงานร่วมกับ แคลเซียม อันเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกาย แมกนีเซียม ยังช่วยให้การผลิตฮอร์โมนต่างๆ เป็นปกติ มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบกล้ามเนื้อและเซลล์ต่างๆ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบเลือด และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยหน้าที่และประโยชน์ของ แมกนีเซียม มีดังนี้

1. มีส่วนควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อเช่นเดียวกับ แคลเซียม โดยจำเป็นสำหรับการส่งสัญญาณทางประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ
2. ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการเผาผลาญสารอาหาร และการสังเคราะห์โปรตีน
3. ช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการต้านทานความหนาว ในที่อากาศเย็น ความต้องการแมกนีเซียมจะสูงขึ้น
4. จำเป็นสำหรับการเติบโตของกระดูกและฟัน
5. สำคัญในการนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ของวิตามิน บี ซี และ อี
6. จำเป็นสำหรับการเผาผลาญแคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม
7. อาจป้องกันโรคทางหลอดเลือดหัวใจ โดยจะไปลดความดันเลือดลง และป้องกันการเกาะของโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดแดง ช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
8. ช่วยในการควบคุมสมดุลของกรด-ด่างในร่างกาย
9. อาจทำหน้าที่เป็นตัวยาสงบประสาทตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน และลดความถี่ในการเกิดได้ ลดอาการซึมเศร้า และช่วยให้นอนหลับโดยเป็นตัวที่ช่วยในการสร้างสารเมลาโตนิน
10.ป้องกัน ไม่ให้ แคลเซียม จับตัวอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ไต
11.จำเป็นต่อการรวม ตัวของ parathyroid hormone ซึ่งมีบทบาทในการดึงเอาแคลเซียมออกจากกระดูก
12.ป้องกัน การแข็งตัวของเลือด
13.ลดอาการปวดเค้นหน้าอกในผู้ป่วย โรคหัวใจ
14.ป้องกัน และรักษาโรคหอบหืด
15.บรรเทาและป้องกัน อาการปวดประจำเดือนโดยการคลายกล้ามเนื้อมดลูก
16.การรับประทา นแมกนีเซียม จะช่วยลดการเกิดตะคริวในหญิงมีครรภ์ที่มีระดับของ แมกนีเซียม ต่ำได้
17.ช่วยป้องกันการเกิดอาการ ไมเกรน คนที่มีปัญหาโรค ไมเกรน มักจะมีปริมาณ แมกนีเซียม ในเลือดต่ำ
18.ช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับ สมองได้ เช่น ซึมเศร้า ไมเกรน เครียด

การควบคุม ความดันโลหิต
อย่างที่เราทราบหากเราลดความดันลงมา ความเสี่ยงต่ออาการหัวใจกำเริบหรืออาการหัวใจวายก็จะลดลงไปด้วย แมกนีเซียมจะไปช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจคลายตัวลงร่วมกับมันยังไปช่วยปรับ สมดุลของโปตัวเซียมกับโซเดียมในเลือดให้สมดุล ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงตามไปด้วย มีการศึกษาเมื่อไม่นานนี้เองในชายหญิงจำนวน 60 คนที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง พบว่าแมกนีเซียมทำให้ทั้งความดัน Systolic และ Diastolic ลดลง ทั้งนี้โดยปกติ แมกนีเซียมจะรับประทานควบคู่กับ แคลเซียม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมความดันโลหิต แมกนีเซียม ป้องกัน แคลเซียม จับตัวอยู่ตามผนังหลอดเลือดจึงป้องกันอาการหลอดเลือดแข็งตัว รักษาความดันโลหิตให้เป็นปกติ

การป้องกันโรค หัวใจ
การที่กล้ามเนื้อหดตัวเป็นผลมาจาก แคลเซียม เข้าไปอยู่ภายในเซลล์กล้ามเนื้อ เนื่องจากมีความเครียดเข้ามากระตุ้น และตัวที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวของ แคลเซียม นี้ก็คือ แมกนีเซียม เมื่อ แมกนีเซียม ไม่พอ แคลเซียม จะไหลเข้าไปในเซลล์กล้ามเนื้อมากเกินไป จนเป็นเหตุให้การหดตัวของกล้ามเนื้อไม่ปกติ เกิดอาการสั่น เป็นตะคริว หากผนังหลอดเลือดเกิดเป็นตะคริว จะทำให้เกิดโรคหัวใจตีบ หลอดเลือดหัวใจแข็งตัว เป็นต้น

ป้องกันโรค กระดูกพรุน
แมกนีเซียม จะช่วยในการสร้าง วิตามินดี ในรูปแบบที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในการสร้างเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน ทำให้กระดูกและฟันมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น จึงช่วยทำให้ขยายระยะเวลาในการเสื่อมของกระดูกให้ยืดนานออกไป

แคลเซียม vs. แมกนีเซียม
หน้าที่ของ แมกนีเซียม ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการเป็นตะคริว คือ แมกนีเซียม มีส่วนควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อเช่นเดียวกับ แคลเซียม โดยจำเป็นสำหรับการส่งสัญญาณทางประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวหลังจากการหดตัว การที่กล้ามเนื้อหดตัวเป็นผลมาจาก แคลเซียม เข้าไปอยู่ภายในเซลล์กล้ามเนื้อ เนื่องจากมีความเครียดเข้ามากระตุ้น และตัวที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวของ แคลเซียม นี้ก็คือ แมกนีเซียม เมื่อ แมกนีเซียมไม่พอ แคลเซียม จะไหลเข้าไปในเซลล์กล้ามเนื้อมากเกินไป จนเป็นเหตุให้การหดตัวของกล้ามเนื้อไม่ปกติ เกิดอาการสั่น ถ้าขาดมากๆ กล้ามเนื้อจะหดเกร็งอย่างรุนแรง และเป็นตะคริวได้ ด้านอารมณ์จะรู้สึกหงุดหงิด สับสน ตื่นเต้นง่าย หากผนังหลอดเลือดเกิดเป็นตะคริว จะทำให้เกิดโรคหัวใจตีบ หลอดเลือดหัวใจแข็งตัว เป็นต้น แมกนีเซียมป้องกันแคลเซียมจับตัวอยู่ตามผนังหลอดเลือดจึงป้องกันอาการหลอด เลือดแข็งตัว รักษาความดันโลหิตให้เป็นปกติ

ในโลกของแร่ธาตุตาม ธรรมชาติ แคลเซียม และ แมกนีเซียม ต้องทำหน้าที่ร่วมกันโดยจะแยกออกจากกันมิได้ แมกนีเซียม ช่วยร่างกายในการดูดซึม แคลเซียม และ แคลเซียม ก็มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวงต่อร่างกายในการย่อยสลาย แมกนีเซียม แคลเซียม นั้นไม่เพียงแต่ทำหน้าที่สร้างเสริมกระดูกให้แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันภาวะกระดูกเปราะ กระดูกพรุน และยังช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตบำรุง ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ ป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อและกระบวนการการทำงานของอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ ของร่างกาย ในขณะที่ แมกนีเซียม จะช่วย แคลเซียม สร้างเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูก ควบคุมการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อให้อยู่ในระดับปกติ ป้องกันการเป็นตะคริว กระตุ้นระบบประสาทควบคุมการใช้น้ำตาลของร่างกาย รวมถึงช่วยให้ร่างกายผลิตโปรตีนอันเป็นปัจจัยสำคัญในการบำรุงกล้ามเนื้อ และเซลล์ต่างๆ นอกจากนั้นยังควบคุมมิให้ระบบการหดตัวของหลอดเลือดทำงานผิดปกติทำให้เลือดใน หลอดเลือดไหลได้สะดวก และหากสาเหตุของการเป็นตะคริวเกิดจากภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ หรือสตรีมีครรภ์ที่มีระดับของแคลเซียมในเลือดต่ำ และควรจะบริโภค แคลเซียม เสริม ก็ควรจะบริโภค แมกนีเซียม เสริมด้วย เนื่องจาก แคลเซียม และ แมกนีเซียม จำเป็นต้องทำงานร่วมกัน
ในการรับประทาน แมกนีเซียม ควรควบคุมปริมาณของ แคลเซียม ควบคู่ไปด้วย โดยอัตราส่วนของ แคลเซียม ต่อ แมกนีเซียม ในอุดมคติ ได้แก่ 2 ต่อ 1 ถึง 3 ต่อ 1 ปริมาณ แคลเซียม ที่ได้รับต่อวัน ควรจะอยู่ประมาณ 600 มก. แมกนีเซียม 300 มก. แต่ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ได้รับ แมกนีเซียม เพียง 150-300 มก. ในขณะที่ แคลเซียม มีผู้หันมาบริโภคมากขึ้นเพื่อป้องกันโรคกระดูก ในผู้สูงอายุนั้นควรใส่ใจกับปริมาณของ แมกนีเซียม ด้วยเช่นกัน ผู้ดื่มนมในปริมาณมาก ควรหันมาบริโภค แมกนีเซียม ให้มากขึ้น หากได้รับ แคลเซียม มากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดซึม แมกนีเซียม ในร่างกาย
สาเหตุ หนึ่งของการเกิดตะคริว ได้แก่ การที่ร่างกายเสียสมดุลระหว่างแร่ธาตุ แคลเซียม และ แมกนีเซียม และ/หรือ ขาด วิตามินอี ดังนั้นจึงควรจะรับประทาน แมกนีเซียม และ แคลเซียม ให้สมดุลกัน โดยอัตราส่วนของ แคลเซียม ต่อ แมกนีเซียม ในอุดมคติ ได้แก่ 2 ต่อ 1 ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว โดยอาหารที่มี แคลเซียม มากได้แก่ นม ผักใบเขียว งา กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อยที่กินทั้งกระดูก เป็นต้น ส่วนอาหารที่มี แมกนีเซียม สูง ได้แก่ ผลไม้เปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืช (เมล็ดข้าวที่ยังไม่ได้สี) และผักใบเขียว เป็นต้น
ผลของการรับประทาน แมกนีเซียม ไม่เพียงพอ
จาก การทดลองกับสัตว์พบว่า ถ้าให้อาหารที่มี แมกนีเซียม ต่ำเป็นเวลานานจะทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท กล้ามเนื้อ ไต หัวใจ และหลอดเลือด คนสูงอายุที่กินอาหารไม่มีแมกนีเซียมนาน 100 วันขึ้นไป มักแสดงอาการผิดปกติเกี่ยวกับการย่อยอาหาร และการทำงานของระบบประสาท อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบปัญหาการขาดแมกนีเซียมในคนปกติ ผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เด็กที่เป็นโรคขาดโปรตีน และคนไข้ที่อดอาหารเป็นเวลานานหลังการผ่าตัดอาจมีอาการขาด แมกนีเซียม ได้ คนพวกนี้มักมี แมกนีเซียม ในเลือดต่ำ และมีอาการชักคล้ายการขาด แคลเซียม (แคลเซียม ในเลือดมักต่ำด้วย)

การขาด แมกนีเซียม จะมีผลทำให้ภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายต่ำลง ระบบกล้ามเนื้อและระบบการย่อยอาหารจะทำงานผิดปกติ ระบบประสาทจะถูกทำลาย และประสาทรับรู้อาการเจ็บปวดจะไวขึ้น กระดูกอ่อนจนร่างกายรับน้ำหนักไม่ไหว และร่ายกายจะสร้างโปรตีนทดแทนไม่ได้ตามปกติ นอกจากนี้การขาด แมกนีเซียม จะทำให้ร่างกายเก็บสะสมพลังงานไว้ไม่ได้ สังเคราะห์ฮอร์โมนเพศไม่ได้ เลือดแข็งตัวช้า
สาเหตุของการขาดแมกนีเซียม
ความ เครียดทำให้ แมกนีเซียม ถูกใช้มากขึ้นหลายเท่า เนื้อและอาหารที่ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่ง น้ำอัดลม ล้วนแต่มีส่วนผสมของฟอสฟอรัสมากซึ่งจะไปขัดขวางการดูดซึม แมกนีเซียม การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก การใช้ยาขับปัสสาวะก็มีส่วนทำให้ขาดแมกนีเซียมได้เช่นกัน รวมทั้งผู้ที่เป็นโรค เบาหวาน มีโอกาสขาด แมกนีเซียม ได้ง่าย

การดูด ซึมจะถูกควบคุมด้วยพาราธัยรอยด์ ฮอร์โมน และจำนวนของ แคลเซียม และฟอสฟอรัสในอาหาร กรดไฟติกที่พบในข้าวอาจป้องกันการดูดซึมของ แมกนีเซียม อัลโดสเตอโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนหลั่งจากต่อมแอดรีนัลจะคอยควบคุมจำนวนของ แมกนีเซียม ที่ถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ยาขับปัสสาวะและการดื่มเหล้าจะเพิ่มจำนวนของ แมกนีเซียม ที่สูญเสียไปทางปัสสาวะ การได้รับฟลูออไรด์หรือสังกะสีปริมาณมากๆ จะไปเพิ่มการขับถ่าย แมกนีเซียม ทางปัสสาวะให้มากขึ้นเช่นกัน
ผลการรับประทานแมกนีเซียม มากเกินไป
ขณะนี้ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับโทษของการรับประทาน แมกนีเซียม มากไป มีผู้รายงานว่าอาหารที่มี แมกนีเซียม สูงอาจช่วยป้องกัน โรคหัวใจ และหลอดเลือดตีบได้

ในกรณีปกติหากได้รับ แมกนีเซียม มากเกินไป ไตจะทำการขับออกนอกร่างกาย แต่ในคนที่เป็นโรคไต แมกนีเซียม ที่มากเกินไปอาจไม่ถูกขับออกมาอย่างพอเพียง จึงทำให้เกิดอาการเป็นพิษ คือ ท้องร่วง และอัตราส่วนของ แคลเซียม-แมกนีเซียม ไม่สมดุล เป็นผลให้เกิดการซึมเศร้าเนื่องจากระบบประสาทกลาง
การรับ ประทานแมกนีเซียม
แนะนำให้รับประทาน แมกนีเซียม เป็นอาหารเสริมประมาณวันละ 300 มก. และควรรับประทาน แมกนีเซียม ที่ไม่มีผลทำให้เกิดอาการถ่ายเหลว เช่น แมกนีเซียม ออกไซด์ และ แมกนีเซียม ฟอสเฟต ซึ่งร่างกายจะได้รับธาตุฟอสฟอรัส ช่วยในการสร้างความหนาแน่นของกระดูก

ข้อควรระวังในการรับ ประทาน แมกนีเซียม คือ ควรควบคุมปริมาณของ แคลเซียม ควบคู่ไปด้วย โดยอัตราส่วนของ แคลเซียม ต่อ แมกนีเซียม ในอุดมคติ ได้แก่ 2 ต่อ 1 ถึง 3 ต่อ 1 ปริมาณ แคลเซียม ที่ได้รับต่อวัน ควรจะอยู่ประมาณ 600 มก. แมกนีเซียม 300 มก. แต่ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ได้รับ แมกนีเซียม เพียง 150-300 มก. ในขณะที่ แคลเซียม มีผู้หันมาบริโภคมากขึ้นเพื่อป้องกันโรคกระดูก ในผู้สูงอายุนั้นควรใส่ใจกับปริมาณของ แมกนีเซียม ด้วยเช่นกัน ผู้ดื่มนมในปริมาณมาก ควรหันมาบริโภค แมกนีเซียม ให้มากขึ้น หากได้รับ แคลเซียม มากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดซึม แมกนีเซียม ในร่างกาย
แมกนีเซียม เหมาะสำหรับใคร
-  ผู้มีความเครียดสูง
-  ผู้ที่มือเท้าชาบ่อยๆ หรือเป็นตะคริวบ่อยๆ
-  ผู้ที่เป็นโรคลมบ้าหมู (ควรปรึกษาแพทย์)
-  ผู้ที่ทานนม อาหารปรุงแต่ง น้ำอัดลม เหล้า ในปริมาณมาก
-  ผู้ป่วยที่ทานยาขับปัสสาวะ
-  ผู้ที่ต้องการป้องกันตนเองจากความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ นิ่วในไต โรคกระดูก osteoporosis
-  ผู้สูงอายุ เพื่อบำรุงร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมสร้างกระดูก

--- สนใจสั่งซื้อ Magnesium ---

Wrinkle Raider ลบรอยตีตาที่สาวๆไม่ต้องการได้ ผสม Vtamin C Alpha Lipoic DMAE



Ester C (Vitamin C)
   เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น


Alpha Lipoic Acid

กรดอัลฟาไลโปอิคใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อรักษาและป้องกันเชื้อโรคได้หลาก หลาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย และปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย อนุมูลอิสระเป็นตัวการสำคัญในการทำลายเซลล์ แหล่งที่มาทั่วไปของอนุมูลอิสระคือ อาหารทอด, ควันบุหรี่, ควันพิษ และมลภาวะต่าง ๆ

หน้าที่หลักของกรดอัลฟาไลโปอิคคือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกลูตาไธ โอน ซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษในตับ กรดอัลฟาไลโปอิคนั้นดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ง่าย พบได้มากในผักและเนื้อสัตว์ เนื่องจากกรดอัลฟาไลโปอิคสามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน สามารถไปเลี้ยงเซลล์ได้ทุกส่วน ความสามารถอันยอดเยี่ยมนี้ทำงานได้เองภายในเซลล์เพื่อช่วยกำจัดสารพิษที่ อยู่ในร่างกาย และยังต่อต้านการอักเสบอันเป็นเหตุให้เกิดสิว ช่วยรักษาการอักเสบไม่ให้สิวนั้นอักเสบลุกลามมากไป

กรดอัลฟาไลโปอิคนั้นทำงานร่วมกับวิตามินบี ซี และอี และสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ เพื่อให้เซลล์ร่างกายทำงานกันอย่างปกติ พึงระลึกไว้ว่าวิตามินเหล่านี้มีหน้าหลักในการต้านแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ ของสิวและช่วยให้การรักษาสิวที่เกิดขึ้นเป็นไปได้รวดเร็วขึ้น กรดอัลฟาไลโปอิคช่วยให้วิตามินเหล่านี้เกิดขึ้นใหม่ หรือหมุนเวียนกลับมาใหม่ ช่วยให้วิตามินเหล่านี้ทำงานได้มากขึ้น

กรดอัลฟาไลโปอิคทำความสะอาดและทำให้ผิวบริสุทธิ์ โดยการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถป้องกันการเกิดสิว และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของเลือดไปยังประสาท ดังนั้นผิวก็จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นในการบำรุง ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสขึ้น

กรดอัลฟ่าไลโปอิคช่วยต้านการอักเสบระดับปานกลาง เนื่องจากมีปริมาณของ Sulfur เป็นองค์ประกอบด้วย จึงช่วยลดการบวมและอาการผิวแดงจากสิว กรดอัลฟ่าไลโปอิคนั้นถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากตัวหนึ่ง เนื่องจากสามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน ด้วยเหตุนี้ร่างกายจึงสามารถดูดซึมได้ง่ายและสามารถเลี้ยงไปทั่วร่างกาย

DMAE
   เป็นสารตามธรรมชาติช่วยในการสังเคราะห์ Acetylcholine
ร่างกายเราสามารถผลิต DMAE ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปกติถ้าได้รับ DMAE ในปริมาณที่พอเหมาะจะทำให้สมองทำงานได้ปกติ
   ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมการสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆได้อีกด้วย และยังทำให้ผิวกระชับ สดใส ดูดี อย่างเห็นได้ชัด



--- สนใจสั่งซื้อ Wrinkle Raider ---

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Vigrex เพิ่มความเป็นชายให้กลับคืน


Vigrex อาหารเสริมเพื่อบำรุงความเป็นชาย

มีส่วนผสมของสมุนไพรที่สำคัญหลายอย่าง เพื่อกระตุ้นและบำรุงสุขภาพของท่านชายให้กลับไปมีความสุขได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง เพิ่มสร้างสมรรถภาพทางเพศให้สมบูรณ์ดังเดิม
ส่วนประกอบที่สำคัญดังนี้

Yohimbe 500 mg,
Tribulus Terrestris Herb 225 mg,
Maca Root 200 mg,
Muira Puama Root 200 mg,
Panax Ginseng 150 mg,
Ginger Extract 100 mg,
Citrus Aurantium Extract (Bitter Orange) 50 mg,
Fructooligosaccharides (FOS) 50 mg,
Saw Palmetto (Standardized for 30% fatty acids) 15 mg.

--สนใจสั่งซื้อ Vigrex กดที่นี้ครับ--

Biotin ไบโอติน ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม ได้จริงหรือ






Biotin ลดการหลุดร่วงของเส้นผม

   รู้จักกันในชื่อวิตามินเอชหรือ วิตามินบี 7 เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ไบโอตินเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผม, เล็บ และผิวหนังมีสุขภาพดี และยังทำให้การเผาผลาญอาหารพวกแป้ง (carbohydrate) และไขมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะผมร่วงมากผิดปกติ หนังศีรษะอักเสบ ผมขาวก่อนวัย ผมขึ้นใหม่ผิดปกติ ผมเปราะ ผมแตกปลาย รังแคและความผิดปกติอื่นๆ ของผมและหนังศีรษะอาจเกิดขึ้นได้จากการขาดไบโอติน ไบโอตินช่วยในการเจริญของเซลล์เยื่อบุผิว เป็นส่วนประกอบของการสร้างน้ำตาล, กรดอะมิโนและกรดไขมัน และช่วยให้ร่างกายสร้างพลังงานระหว่างการออกกำลังกายหรือการทำกิจวัตรประจำ วันอื่น ๆ ความแข็งแรงของเส้นผมและเล็บ ความเรียบของผิวหนังขึ้นกับปริมาณของไบโอตินที่มีอยู่ที่ผิวหนัง หนังศีรษะและรากผม
แม้ว่าการขาดไบโอตินจะพบได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากวิตามินชนิดนี้ผลิตขึ้นได้จากแบคทีเรียปกติในลำไส้ แต่ในปัจจุบันพบว่าการขาดวิตามินชนิดนี้พบได้บ่อยขึ้นมากกว่าแต่ก่อนคนที่ มักจะรับประทานอาหารที่ผ่านกรรมวิธีมาก หรือคนที่ใช้ยาฆ่าเชื้อ ยาปฏิชีวนะบ่อย ๆ จะพบการขาดวิตามินนี้ได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันการขาดไบโอติน และแร่ธาตุที่จำเป็นอื่น ๆ ควรจะแน่ใจว่าทานอาหารได้เพียงพอและครบหมู่

    ไบโอตินมีในอาหารหลายชนิด แต่ส่วนใหญ่จะมีในปริมาณน้อย อาหารที่พบไบโอตินมากและดูดซึมได้ง่ายได้แก่ ยีสต์ที่ใช้หมักเหล้า (brewer's yeast), นมผึ้ง อาหารอื่น ๆ ที่พบไบโอตินได้แต่ในปริมาณที่รองลงมา ได้แก่ ไข่แดง, กล้วย, ตับวัว, นมสด, ขนมปังธัญพืช, หอยนางรม, ปลา, กะหล่ำดอก นอกจากนี้ยังพบได้น้อยกว่าในอาหารพวก ถั่ว , เนื้อสัตว์, ชอคโกแล็ต ปริมาณที่ต้องการต่อวัน คืออย่างน้อย 30 ไมโครกรัม
ไบโอตินถูกทำลายได้ง่ายโดยขบวนการ พาสเจอร์ไรซ์ และการผ่านความร้อนสูงนาน ดังนั้นอาจเพิ่มเมนูอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ปลาดิบ (sashimi) , สเต็ก , ผัก – ผลไม้ดิบ บ้าง การดูดซึม ไบโอตินจะลดน้อยลงได้ในบางภาวะเช่นการใช้ยาปฏิชีวนะ, ยากันชัก , ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ๆ, สูบบุหรี่, นักกีฬา, โรคเบาหวาน ซึ่งพบได้บ่อยว่ามีการขาดไบโอติน ความต้องการไบโอตินจะสูงขึ้นในช่วงของการตั้งครรภ์และให้นมบุตร ในช่วงการตั้งครรภ์หากได้รับวิตามินบี ไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า และผมร่วงหลังคลอดได้
การขาดไบโอตินนอกจากจะมีผลทำให้ผมร่วงแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า, อ่อนเพลียเรื้อรัง, อาการชา, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ซีด และภูมิคุ้มกันลดลง อาการขาดไบโอตินรักษาได้โดยการให้วิตามินเสริม การใช้วิตามินไบโอตินสังเคราะห์นี้จะไม่ได้ผลดีและปลอดภัยเท่ากับ การได้รับวิตามินชนิดนี้จากอาหารสดธรรมชาติ อาจใช้ไบโอตินผสมในแชมพู ครีมนวดผม หรือโลชั่นเพื่อช่วยในการรักษาภาวะผมร่วง การใช้ไบโอตินเสริม ได้ผลดีในการช่วยการรักษาโรคของผิวหนัง ผมและเล็บ ทำให้อาการผมร่วงผื่นแพ้ที่หนังศีรษะ ผมเปราะบางขาดง่าย ผมแตกปลาย รากผมเสียหายดีขึ้นได้จริง

--สั่งซื้อ Biotin Shampoo กดที่นี้ครับ--

Probiotic โปรไบโอติก ช่วยในเรื่องระบบการย่อย ลำไส้ ระบบขับถ่าย



Probiotic โปรไบโอติก ช่วยในเรื่องระบบการย่อย ลำไส้

โปรไบโอติกส์  มีความหมายว่า   “เพื่อชีวิต” เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ดี  ยกตัวอย่างเช่น  แลตโตบาซิลลัส  (Lactabacillus)  และไบฟิโดแบคทีเรีย  (Bifidobacterium)

หน้าที่ของโปรไบโอติกส์  จะเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร  โดยเฉพาะบริเวณปลายลำไส้ใหญ่  โดยจะช่วยรักษาความสมดุลระหว่างแบคทีเรียดีและแบคทีเรียไม่ดี  และยังช่วยขับของเสียออกจากลำไส้  ถ้าเรามีแบคทีเรียไม่ดีจำนวนมาก  ร่างกายของเราจะเริ่มมีกรดและของเสียในลำไส้มากขึ้น  ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้  โดยเฉพาะในกรณีที่เราต้องกินยาปฏิชีวนะ  ยาจะเข้าไปฆ่าแบคทีเรียที่ดี  รวมทั้งโรคต่างๆ ด้วย  ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเลือกรับประทานอาหารโปรไบโอติกส์  เพื่อช่วยรักษาความสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้หลังจากกินยาปฏิชีวนะเข้าไป

อาหารโปรไบโอติกส์  เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการหมักดอง  ซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้เกิดแบคทีเรียสายพันธุ์ดี  ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะเมื่อเรารับประทานเป็นประจำในปริมาณที่มากพอ  ในยุโรป และเอเชีย  ล้วนต่างมีอาหารโปรไบโอติกส์  ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติมาเป็นเวลานานแล้ว  เช่น  คนยุโรปมักนิยมบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของ
โปรไบโอติกส์  เช่น  ชีส  โยเกิร์ต  และผักดอง  (เช่น  เซาเออร์เคราท์ของเยอรมนี)  อาหารโปรไบโอติกส์ในอเมริกาก็คล้ายกันกับยุโรปแต่ยังล้าหลังในด้านความหลากหลายของอาหารประเภทนี้และที่สำคัญไม่ค่อยมีวางขายอยู่ตามซุปเปอร์มาเก็ต  ผู้คนบางส่วนจึงนิยมเลือกทานโปรไบโอติกส์ที่ทำเป็นแคปซูลสำเร็จ  เพราะสะดวกต่อการบริโภคและพกพา  สามารถหาซื้อได้ตามร้านขสยของเพื่อสุขภาพในเอเชียของเรา  อย่างเกาหลีจะมีกิมจิเป็นอาหารประจำชาติมานานหลายร้อยปี  ส่วนญี่ปุ่นกับจีนจะมีอาหารหมักหลายสไตล์  เช่น  ผักเกี้ยมไฉ่  เต้าเจี้ยว  สำหรับในบ้านเรา  อาหารโปรไบโอติกส์ที่เป็นที่นิยมกันมานานแล้ว  เช่น  ข้าวหมัก  ผักดอง  เต้าเจี้ยว  แหนม  ฯลฯ

>>สนใจสั่งซื้อ Probiotic กดที่นี้ครับ<<

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Red Yeast Rice ข้าวแดงหมักยีสต์





สารสกัดจากเรดยีสต์ไรซ์ (Red Yeast Rice Extract)

   เรดยีสต์ซ์ คือข้าวแดงที่ได้จากการหมักด้วยเชื้อราโมแนสคัส (Monascus Purpureus) ซึ่งได้ใช้มามากกว่าพันปีในประเทศจีนเพื่อใช้ในการเก็บรักษาอาหาร (Food preservative) และใช้เป็นสีอาหาร (Food colorant) ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น ไวน์แดง เต้าหู้ยี้ มิโซะ สาเก เป็นต้น ในประเทศจีนได้ใช้เป็นยาสมุนไพรจีนโบราณ ที่ ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น (Improving blood circulation) ช่วยในการบรรเทาการย่อยอาหารที่ไม่ดี และท้องเสีย (For alleviating indigestion and diarrhea) แต่ในปัจจุบัน เรดยีสต์ไรซ์ ได้มีการพัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ของจีน และอเมริกาให้ใช้ในการลดไขมันโคเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ในหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดต่างๆ ของร่างกาย (Including lower blood lipids, cholesterol and triglycerides) ช่วยลดความดันโลหิต

   ในการวิจัยล่าสุดพบว่า คนที่มีไขมันในเลือดสูงเมื่อรับประทาน Red Yeast Rice และน้ำมันปลา พร้อมๆ กับการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการทำเทคนิคผ่อนคลาย จะช่วยลดไขมันร้าย ในเลือดลงได้ร้อยละ 40 หรือเทียบเท่ากับการรับประทานยาลดไขมัน ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลงได้

---สนใจสั่งซื้อ Red Yeast Rice กดที่นี้ครับ---

Garlic กระเทียม เพื่อสุขภาพ




ประโยชน์ของกระเทียม (Garlic)

     การศึกษาทดลองคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาในระยะหลัง พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกหลายอย่าง แต่การนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้ผลอย่างจริงจังยังจะต้องมีการศึกษาผลทางคลินิกวิทยาให้ถ่องแท้เสียก่อน โดยสรรพคุณต่างๆ ของกระเทียมมีดังนี้

1.ฆ่าเชื้อรา คือ กลาก เกลื้อน และเชื้อราที่เกิดตามเล็บ หนังศีรษะและผม
2.ฆ่าเชื้อยีสต์ชนิดที่ทำให้เกิดลิ้นขาวเป็นฝ้าในเด็กทารก และทำให้เกิดโรคมุตกิดระดูขาวที่มักจะเกิดในหญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ
3.ลดความดันโลหิตสูง
4.ลดไขมันและคอเลสเตอรอล
5.ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
6.ลดน้ำตาลในเลือด
7.ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแทบทุกชนิด กล่าวคือ มีสารอัลลิซิน ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่มักทำให้เกิดโรคได้ถึง 15 ชนิด โดยเฉพาะยับยั้งเชื้อพวกที่ดื้อยาเพนนิซิลินได้ดีกว่าเชื้อพวกที่ไม่ดื้อยาอีกด้วย นอกจากนี้ ยังฆ่าเชื้อบิดมีตัวที่มีพิษต่อลำไส้ได้ดี โดยมีสารที่สำคัญคือกาลิซิน รวมทั้งสามารถยับยั้งเชื้อบิดเทียม ซึ่งไม่รบกวนแบคทีเรียตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อลำไส้
8.ยับยั้งเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง และใช้รักษาแผลสด แผลที่เป็นหนอง คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เชื้อวัณโรค และเชื้อปอดบวม
9.รักษาไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
10.เป็นยาขับเสมหะและมีฤทธิ์ขับเหงื่อและขับปัสสาวะ
11.รักษาโรคไอกรน
12.แก้หืดและโรคหลอดลม
13.แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย
14.ควบคุมโรคกระเพาะ คือมีสารเอเอส 1 ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ และยังช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้ด้วย
15.ขับพยาธิต่างๆ ได้หลายชนิด ได้แก่ พยาธิเข็มหมุด พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย และมีรายงานทดสอบจากอินเดียว่า กระเทียมมีสารไดอัลลิลไดซัลไฟด์ มีฤทธิ์ใช้ฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ดี
16.แก้เคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารอัลลิซินเป็นตัวช่วยทำให้เลือดไหลเวียนมายังบริเวณที่ทาถูนวดยาได้ดีมากขึ้น
17.แก้ปวดข้อและปวดเมื่อย
18.ต่อต้านเนื้องอก
19.กำจัดพิษตะกั่ว
20.บำรุงร่างกาย

---สนใจสั่งซื้อ Garlic กดที่นี้ครับ---

Bee Pollen Complex เกสรผึ้ง คุณสมบัติที่มีมากมาย



เกสรผึ้ง Bee Pollen Complex  หรือบีพอลเลน

   คือละอองเม็ดเล็ก ๆ คล้ายฝุ่นแป้งที่เกิดและหลุดจากช่อเกสรตัวผู้ของดอกไม้ ที่ผึ้งเป็นผู้รวบรวมคลุกเคล้ากับน้ำหวานของดอกไม้ และทำเป็นก้อนเล็ก ๆ ติดไว้ที่ปลายขาหลังทั้งสองข้าง แล้วนำไปเก็บไว้ในรังเพื่อเป็นอาหารเลี้ยงตัวอ่อน
   ผึ้งงาน 1 ตัว จะรวบรวมเกสรได้ 4 ล้านอณูใน 1 ชั่วโมง, ละอองเกสร 1 ช้อนชา จะมีเกสรถึง 25 พันล้านอณู ซึ่งแต่ละอณูสามารถเจริญเป็นผลไม้ได้ 1 ผล หรือต้นไม้ 1 ต้น เกสรผึ้งอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุจำนวนมาก

ส่วนประกอบของเกสรผึ้ง   
  
- เกสรผึ้งอุดมไปด้วยธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์มากมาย เช่น
- โปรตีน เป็นส่วนใหญ่และโปรตีนนี้มีประโยชน์ต่อผึ้ง และมนุษย์สูงกว่าเนื้อ นม ไข่ ถึง 5 เท่า ในขนาดที่มีน้ำหนักเท่ากัน
- วิตามิน 16 ชนิด ได้แก่ วิตามินบีคอมเพล็กซ์, วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินดี, วิตามินเค
- กรดอะมิโน 18 ชนิด และมีชนิดที่จำเป็นในการช่วยควบคุมน้ำหนัก
- เอนไซม์ 18 ชนิด
- แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โพแทสเซี่ยม, เหล็ก, ทองแดง, ไอโอดีน และสังกะสี ฯลฯ

คุณประโยชน์

- บีพอลเลน อุดมไปด้วยสารอาหารธรรมชาติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
- มีคุณสมบัติในการดูดซับวิตามินและแร่ธาตุ ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมอาหารและแร่ธาตุต่างๆไปใช้อย่างเต็มที่
- เป็นสารกระตุ้นทางชีวภาพ ที่ช่วยละจิตใจตอบสนองต่อการเผชิญต่อสถานการณ์ต่างๆ อีกทั้งไทอามินในวิตามินบี 1 ยังช่วยกระตุ้นการตื่นตัวของระบบสอง ทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่น และมีสมาธิ ทั้งยัง   สามารถช่วยลดอาการอ่อนเพลียทั่วไป อาการเฉื่อยชา ไม่ยินดียินร้าย
- ช่วยปรับสภาพผิวให้กับสตรีที่ตั้งครรภ์ ผิวตกกระ หรือมีรอยแผลเป็น นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของเกสรดอกไม้ นมผึ้ง และน้ำผึ้งจากแหล่งธรรมชาติที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย
- เสริมสร้างให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนอย่างสมดุล กระตุ้นการเติบโตของเนื้อเยื่อผิว
- ช่วยเสริมสร้างพลังงาน ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย รวมถึงระบบต่อมไร้ท่อ
- ลดอาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า คืนความชุ่มชื้นแก่ผิว ผิวพรรณจึงสดใส ดูอ่อนกว่าวัย นอกจากนั้นยังช่วยให้ผมที่หลุดร่วงง่ายกลับงอกใหม่มีชีวิตชีวา เนื่องจากมีส่วนผสมของซีสเตอีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่สำคัญที่เป็น   ปัจจัยให้เส้นผมงอกงาม
- ลดการอักเสบอันเป็นสาเหตุของโรคไขข้อเสื่อม และการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตชั้นนอกและการหลั่งฮอร์โมนแอนโดรเจนในลูกอัณฑะ
- มีฤทธิ์ในการบำบัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกัน และบำบัดอาการติดเชื้อจากไวรัส หรือแบคทีเรีย
- เพิ่มสมรรถภาพทางร่ายกายและจิตใจ ตลอดจนช่วยกระตุ้นกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกาย และมีผลในการเป็นยาบำรุงอีกด้วย
- สารสกัดจากเกสรดอกไม้ ยังช่วยรักษาคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ในฮ่องกงจำนวน 88 ราย โดยการค้นคว้าและทดลองของ ดร. Stephen Mark Vendel ที่ประสบความสำเร็จในการรักษาคน   ไข้โดยการใช้สารสกัดจากเกสรดอกไม้ในปีค.ศ. 1975
- เห็นผลอย่างชัดเจนมาก สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการปัสสาวะบ่อย และฝ้า

---สนใจสั่งซื้อ Bee Pollen Complex กดที่นี้---

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Vitamin E Cream บำรุงผิวพรรณ


วิตามินอี คืออะไร?

   วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol)

  วิตามินอีกับผิวพรรณ

      สถาบันโรคผิวหนังหลายแห่งมีการวิจัยพบว่าวิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้ เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้ เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงนิยมนำวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์

 ---สนใจสั่งซื้อ Vitamin E Cream กดที่นี้ครับ---

Lutein ลูทีน บำรุงสายตา


Lutein ลูทีนบำรุงสายตา

     เป็นสารอาหารธรรมชาติกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตาและช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา โดยการลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา ร่างกายจำเป็นต้องได้รับลูทีนจากอาหาร โดยเฉพาะพืชผักสีเขียวเข้ม เช่นคะน้า ผักโขม ผักกาด ปวยเล้ง เป็นต้น
     ช่วยให้ดวงตาแข็งแรง ป้องกันประสาทตาเสื่อม เสริมสร้างการมองเห็น ป้องกันโรคจุดรับภาพเสื่อม ช่วยแก้ในกรณีผู้มีปัญหาเรื่องสายตา และ ปัญหาโรคเกี่ยวกับตา ใช้ร่วมกับ Bilberry เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ดีขึ้นเป็นสารสกัดจากดอกดาวเรืองประกอบ ด้วยสารลูทีนและ ซีแซนทีน ซึ่งช่วยปกป้องดวงตามิให้ถูกทำลายจากแสงแดด
     พบว่าการรับประทานลูทีนทุกวัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 50%


ประโยชน์ของ Lutein


1. ช่วยให้ดวงตาแข็งแรง ป้องกันประสาทตาเสื่อม
2. เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือดใหญ่ และเส้นเลือดฝอย
3. ช่วยเสริมสร้างการมองเห็นโดยช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดเล็กๆตรงกลางของที่รับแสง
    ในตา(เรตินา) อันเป็นส่วนสำคัญของ Main Pigment (สี) ในฉากรับแสงของตา
    จะช่วยป้องกันมิให้แสงอาทิตย์ทำลายเรตินา
4. ป้องกันโรคจุดรับภาพเสื่อม หรือจอประสาทตามเสื่อม
5. ช่วยป้องกันและลดอาการของโรคต้อกระจก
6. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ทำลายเซลล์ตาทำให้เซลล์แข็งแรง ช่วยชะลอความเสื่อมของตา
7. ช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนของเลือดและเส้นเลือดฝอยที่เลี้ยงตา
8. เพิ่มสมรรถภาพในการมองเห็นได้ดีในที่มืด
9.ใช้ร่วมกับ Bilberry เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ดีขึ้น

Green Source แหล่งรวมผักนานาชนิด


Green Source แหล่งรวมผักนานาชนิด

แหล่งรวมสารอาหารมากมาย พืช ผัก วิตามิน โปรตีน ธาตุเหล็กและอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายครับ




---สนใจสั่งซื้อ Green Source กดที่นี้ครับ---

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Bilberry บิลเบอร์รี่ บำรุงสายตา



บิลเบอร์รี่ (Bilberry)

   เป็นผลไม้ที่มีสารแอนโธไชยานินประกอบอยู่เป็นสารจำพวกฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่มีสีแดงอมม่วงช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง และช่วยให้การไหลเวียนของเลือดในระดับที่เล็กมากขึ้น สารชนิดนี้ช่วยเอนไซม์ต่างๆ ให้ทำงานในกระบวนการเมตาบอลิซึ่งของเซลล์เรตินา สารแอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) ไปใช้ในการรักษาโรคเพื่อช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง สร้างคอลลาเจนช่วยในการทำงานของสมองดีขึ้น และทำหน้าที่เป็นสารแอนติออกซิ แดนท์ที่ป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน สารชนิดนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานของไต และช่วยรักษาผู้ที่มีเส้นเลือดฝอยเปราะในอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสีย สารแอนโธไซยาโนไซด์ชนิดหนึ่ง คือ ไมร์ทิลลิน (Myrtliiln) เป็นสารสีน้ำเงินที่มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคที่เรีย สารแอนโธไซยาโนไซด์มีคุณสมบัติที่เทียบได้กับสารไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงด้วยเช่นกัน

ประโยชน์ของ Bilberry

- เพิ่มสมรรถภาพในการมองเห็นในที่มืด ช่วยลดระยะเวลาในการ ปรับแสงจากสว่างไปสู่ที่มืดหรือที่มีแสงสลัวได้เร็วขึ้น เนื่องจาก VMA ช่วยคืนสภาพของสารโรดอพซิน (Rhodopsin) ในดวงตาหลังจากถูกแสงได้เร็วขึ้น
- การมองเห็นภาพคมชัดขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ของเอนไซม์หลายตัวที่อยู่ภายในจอประสาทตา (Retina) ทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
- ลดความเสี่ยงของการตาบอด ช่วยลดปัญหาสำหรับผู้ที่ต้อง เผชิญกับแสงสว่างจ้ามากๆ หรือแสงแฟลช ซึ่งสามารถทำลายจอประสาทตาจนอาจทำให้ตาบอดได้
- ปกป้องโครงสร้างของผนังเส้นเลือดฝอย ช่วยเพิ่มแรงต้าน และเพิ่มการขยายตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น มีผลในการช่วยทำให้ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ไม่เปราะหรือฉีกขาดง่าย ดังนั้น จึงมีผลดีต่อเนื้อเยื่อที่มีเส้นเลือดฝอยหล่อเลี้ยงจำนวนมาก เช่น จอประสาทตา (Retina) ระบบหลอดเลือดดำและไต เป็นต้น
อาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดสูง หรือใช้ สายตามากเป็นพิเศษ เช่น นักบิน นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ และผู้ที่ต้องขับรถในเวลากลางคืน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผลมาจากการที่บิลเบอร์รี่
สามารถช่วยคงระดับสารโรดอพซินในดวงตา ที่อาจลดลงในช่วงที่มีการใช้ สายตาเป็นเวลานาน

ประโยชน์อื่นๆ

- ป้องกันต้อหิน ต้อกระจก ต้อลม ลดแรงดันในลูกตาลดความเจ็บปวดจากการบวมในลูกตา
- ป้องกันโรคเบาหวาน, โรคไทฟอยด์, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, โรคความดันโลหิตสูง และระบบหายใจผิดปกติ
- ป้องกันเส้นเลือดขอด ลดการบวม เสริมสร้างความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด ช่วยสร้างเนื้อเยื่อ เส้นเอ็น และกระดูกอ่อน
- แก้การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ช่วยบรรเทาอาการผิดปกติในลำไส้ใหญ่ โรคเริม ท้องผูก โรคกระเพาะอาหาร แผลในปาก
- เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ควบคุมน้ำตาลในเลือด ช่วยลดเกล็ดเลือด (Blood platelet) ต่อต้านโธไซยาโนไซเดอร์

   ได้มีการพิสูจน์ทางคลินิคแล้วว่า สารแอนโธไซยานิดิน ที่มีอยู่ในบิลเบอรี่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังหลอดเลือดที่ดวงตา โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการตาบอดกลางคืน สายตาสั้น และดวงตาอ่อนล้าอันเนื่องมาจากการใช้งานมากเกินควร
บิลเบอร์รี่ อาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดสูง หรือใช้ สายตามากเป็นพิเศษ เช่น นักบิน นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ และผู้ที่ต้องขับรถในเวลากลางคืน ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผลมาจากการที่บิลเบอร์รี่
สามารถช่วยคงระดับสารโรดอพซินในดวงตา ที่อาจลดลงในช่วงที่มีการใช้ สายตาเป็นเวลานาน

   สายตาดีได้ด้วยบิลเบอรี่ สำหรับผู้ที่ใช้สายตามากเป็นพิเศษ อยู่หน้าจอคอมฯ ขับรถตอนกลางคืน สายตาดีได้ด้วยบิลเบอรี่
[สำหรับผู้ใช้สายตามากเป็นพิเศษ หน้าคอมพิวเตอร์ ขับรถตอนกลางคืน


---สนใจสั่งซื้อ Bilberry กดที่นี้ครับ---

Flax Oil เมล็ดของต้นปอป่าน บำรุงสมองและอีกมากมาย


Flax Oil (Flaxseed Oil)

  Flaxseed oil ได้มาจากเมล็ดของต้นปอป่าน ซึ่งเต็มไปด้วยกรดแอลฟา-ไลโนลีนิก หรือเอแอลเอ (alpha-linolenic acid (ALA)) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่จัดอยู่ในกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเอแอลเอจะพบมากใน flaxseed oil และน้ำมันที่ได้จากพืชชนิดต่างๆ
   ในสภาวะปกติจะมีสมดุลที่เหมาะสมระหว่างโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ในอาหาร เนื่องจากทั้งสองสารจะทำงานไปด้วยกันเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพที่ปกติ โดยกรดไขมันโอเมก้า-3 จะมีหน้าที่หนักคือช่วยลดอาการอักเสบ และกรดไขมันโอเมก้า-6 จะทำให้เกิดการอักเสบ หากมีความไม่สมดุลระหว่างกรดไขมันจำเป็นทั้ง 2 ชนิด จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ขึ้นมา
   นอกจากนี้กรดไขมันโอเมก้า-3 ยังสามารถยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ช่วยขยายหลอดเลือด และ ลดการทำลายเซลล์จากการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ จึงมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย โดยเฉพาะต่อระบบเลือด เช่น ลดการเกิดโรคหัวใจกำเริบ ลดการอุดตันในหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ลดการเกิดข้ออักเสบ หอบหืด ภูมิแพ้ได้ และ flaxseed ยังอุดมไปด้วยสารที่มีชื่อว่า ลิกแนน (lignans) ซึ่งมีมากกว่าพืชชนิดอื่นถึง 75 เท่า โดยลิกแนนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย เช่น คุณสมบัติในการต้านมะเร็ง โดยได้มีการทดสอบในสัตว์ทดลองที่เป็นเนื้องอกในเต้านม ซึ่งกิน flaxseed พบว่าภายใน 7 สัปดาห์ เนื้องอกได้ฝ่อลง
   สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งของ flaxseed คือ อุดมไปด้วยกากใยอาหาร (fiber) ซึ่งช่วยขจัดสารพิษต่างๆ ที่อยู่ภายในลำไส้ และทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ซึ่งส่วนที่เป็นกากใยอาหารนี้ จะพบในเมล็ด flaxseed แต่ไม่พบใน flaxseed oil ชนิดแคปซูลที่ขายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
   แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงและปฏิกิริยากับยาได้หลายชนิด ดังนั้นการตัดสินใจเลือกใช้ ควรได้รับข้อมูลจากบุคลากรทางการแพทย์ที่พิจารณาร่วมกับโรคประจำตัวที่ผู้ ป่วยเป็น และยา สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นที่ผู้ป่วยใช้อยู่เป็นประจำด้วย

---สนใจสั่งซื้อ Flax Oil กดที่นี้ครับ---

Neuro PS บำรุงสมอง ช่วยในเรื่องความจำ


Neuro PS บำรุงสมอง ความจำ

Neuro-Optimizer® is nutrition for the brain, combining CDP Choline (cytidine 5’-diphosphocholine, also known as Citicoline), Phosphatidylserine, Alpha Lipoic Acid, Acetyl L-Carnitine, L-Glutamine and Taurine to enhance brain metabolism and antioxidant protection safely and naturally, but without the use of stimulants.

Citicoline (CDP-Choline) is an essential intermediate in the synthesis of phosphatidylcholine, a major constituent of the gray matter of brain tissue (30%). Citicoline promotes brain metabolism by enhancing the synthesis of acetylcholine and restoring phospholipid content in the brain.

PS (Phosphatidylserine) supports the brain’s proper response to stress and promotes neuronal communication. The antioxidants Acetyl L-Carnitine, Alpha Lipoic Acid and Taurine provide protection for the neurons from damage caused by certain free radicals. Acetyl L-Carnitine, Alpha Lipoic Acid and L-Glutamine also support energy utilization. Taurine also aids in osmoregulation (maintenance of proper concentrations of ions) inside the cell.
DHA ช่วยทำให้สารสื่อประสาทจับกับตัวรับสารสื่อประสาทได้ดีขึ้น ทำให้การส่งผ่านข้อมูลประสาทมีประสิทธิภาพ

ทั้ง DHA ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทระหว่างเซลล์ประสาทของราก เพื่อนำข้อมูลเก็บไว้ในสมองและดุงข้อมูลออกมาใช้
ซึ่งเป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้และความจำในระยะยาว DHA

Lecithin เลซิติน ควบคุมคอเลสเตอรอล หัวใจตีบ หลอดเลือดอุดตัน ประโยชน์อีกมากมาย


    
Lecithin เลซิติน 

    เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ พบได้ทั้งในพืชและสัตว์ เลซิตินเป็นสารประเภทไขมันที่มีอยู่ในรูปของสารประกอบฟอสโฟไลปีด (Phospholipid) ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมัน 2 โมเลกุล รวมตัวกับ ฟอสเฟต และโคลีน ซึ่งเป็นวิตามินในกลุ่มเดียวกับวิตามินบี เลซิตินจึงมีชื่อทางเคมีว่า ฟอสฟาทิดิล โคลีน (Phosphatidyl Choline) เลซิตินสามารถพบได้ในส่วนประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และยังพบมากในสมอง ตับ หัวใจ เยื่อหุ้ม ปอด เยื่อหุ้มเซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อเซลล์ประสาท

ประโยชน์ของเลซิติน


- ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้ เลซิตินทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายไขมันในเส้นเลือดทำให้ไขมันแตกตัวเป็นอนุภาพเล็กและไหลเวียนไปกับกระแสเลือด ป้องกันการจับตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด อันเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือด หัวใจตีบ หรืออุดตัน
- ช่วยเสริมสร้างความจำ เลซิตินเป็นสารที่จำเป็นต่อการสร้างโคลีน ซึ่งโคลีนนี้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของสารสื่อประสาท ที่เรียกว่า อะเซทธิลโคลีน สารสื่อนำประสาทนี้เมื่อเพิ่มขึ้น จะมีผลในการเสริมสร้างความจำ และลดอาการ หลงลืมในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้มีระดับ โคลีน ในร่างการต่ำ จะทำให้เกิด อาการซึมเศร้า จิตใจหดหู่ หลงลืมและไม่มีสมาธิ และโคลีน ยังช่วยในการปล่อย ฮอร์โมน วาโสเพรสซิน (Vasopressin) ซึ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้และความจำ การควบคุมปริมาณของปัสสาวะ และควบคุมความดันโลหิต
- ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ ส่งเสริมการทำงานของเซลล์ให้มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหัวใจ ตับ ไต และต่อมไร้ท่อ ตลอดจนการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
- ป้องกัน นิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งเกิดจากการตกตะกอนของโคเลสเตอรอลในถุงน้ำดี
- ช่วยในการดูดซึมวิตามินบีหนึ่งเพิ่มขึ้นในตับละเพิ่มการดูดซึมวิตามินเอในลำไส้
- ป้องกันมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่
- ช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนของผู้หญิงให้สมดุล ทำให้สุขภาพร่างกาย และผิวพรรณให้ดูดีและแข็งแรง

Hoodia Goronii สารสกัดจากพืชทะเลทราย ช่วยให้ไม่อยากอาหาร ลดความอ้วน


Hoodia Goronii สารสกัดจากพืชทะเลทราย ช่วยให้ไม่อยากอาหาร

- ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมควบคุมน้ำหนัก
- สารสกัดมาจากพืชทะเลทราย
- มีส่วนช่วยให้ลดความอยากอาหาร ช่วยให้รู้สึกอิ่ม

   Hoodia Gordonii ถูกค้นพบและถูกใช้โดยชาวแอฟริกัน (เผ่าแซน) จากทะเลทรายคาลาฮาริมากว่าพันปี พวกเขาจะเคี้ยวทานต้น Hoodia สด ๆ สองครั้งต่อวัน เพื่อลดอาการหิว และกระหายน้ำ ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังล่าสัตว์ ต้น Hoodia นี้ ประกอบไปด้วยโมเลกุล p57 ทำหน้าที่เป็นกลูโคสในสมอง กลูโคสที่อยู่ในกระแสเลือดที่เป็นตัวทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่น (ไม่มีผลต่อโรคเบาหวานหรือน้ำตาลในเลือดสูงแต่อย่างใด) ซึ่งเมื่อทานไปแล้วจะเป็นตัวควบคุมไม่ให้ร่างกายเกิดความหิว และทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบัน Hoodia Gordonii ถูกนำมาใช้รักษาโรคอ้วน รวมทั้งรักษาความเครียดที่มักจะเกิดขึ้นในคนอ้วน ในวงการแพทย์มาหลายปีแล้ว และผู้ผลิตยาเสริมอาหารส่วนใหญ่ได้นำ Hoodia Gordonii มาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักแล้วส่งขายหลากหลายยี่ห้อทั่วโลก ซึ่งลูกค้าทั่วไปต่างก็พอใจกับผลที่ได้รับจากการรับประทานผลิตภัณฑ์ลด น้ำหนักที่สกัดจาก Hoodia Gordonii

   Hoodia Gordonii ที่มีอายุในช่วง 5 -7 ปี จะมีความสมบูรณ์มากที่สุด และมีประสิทธิภาพในการระงับความรู้สึกหิวได้ดี
บริษัทอื่นๆที่ขาย Hoodia จะได้มาจากจีน, เม็กซิโก และเท็กซัส ซึ่งพบว่าไม่มีส่วนของ active ingredient เช่นเดียวกับที่พบในประเทศแอฟริกาใต้
75% ของ Hoodia ที่วางขายตามท้องตลาด มีประสิทธิภาพไม่เทียบเท่ากับที่มีใน Hoodia Vitamin world


---สนใจสั่งซื้อ Hoodia กดที่นี้ครับ---

Joint Soother(Glucosamine Chondroitin MSM) บำรุงน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อ ข้อเข่าเสื่อม



Joint Soother บำรุงน้ำหล่อเลี้ยงข้อต่อ
มีส่วนประกอบ 3 ตัวดังนี้
    1.Glucosamine sulfate
    2.Chondroitin Sulfate
    3.MSM

ประโยชน์ของ กลูโคซามีน ซัลเฟต (Glucosamine sulfate) กับ โรคข้อเสื่อม (osteoarthristis)

   ร่างกายสามารถสังเคราะห์กลูโคซามีนซัลเฟต ได้เองตามธรรมชาติ แต่เป็นปริมาณที่น้อยกว่าความต้องการของร่างกาย ร่างกายใช้กลูโคซามีน ซัลเฟต ในการสร้างกระดูกอ่อน และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของไขข้อ หรือ สารเหลวที่หล่อลื่นบริเวณข้อต่อต่างๆ ทำให้ของเหลวนั้นมีความเหนียวขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันข้อต่อต่างๆ ของร่างกาย จาก การศึกษาพบว่า อาหารเสริมกลูโคซามีน ซัลเฟต สามารถช่วยซ่อมแซมไขข้อ และกระดูกอ่อน บรรเทาอาการเอ็นยึด เอ็นเคล็ด และอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน (prolapsed spinal discs) ซึ่งผลการวิจัยพบว่าอาการของผู้ป่วยดีขึ้นถึงร้อยละ 73 และหากรับประทานกลูโคซามีนซัลเฟต ผสมกับคอนดรอยติน (Chondroitin) จะทำให้ได้ผลดีขึ้น โดยคอนดรอยติน เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อต้องการซ่อมแซมกระดูกอ่อน  กลูโคซามีนซัลเฟต มีประโยชน์มากเมื่อใช้ในรายที่มีอาการปวดหลัง ข้ออักเสบ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ปริมาณที่แนะนำต่อวัน 500-1,000 มก. วันละ 3 ครั้ง ในระหว่างมื้ออาหาร

   โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) เป็น ภาวะเสื่อมที่มีผลต่อข้อและเนื้อเยื่อของข้อ  มีอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อมีการใช้งานของอวัยวะส่วนนั้น ต่อมามีอาการข้อบวม ฯลฯ  เมื่ออาการมากในขั้นท้ายๆ ข้อจะมีลักษณะผิดรูปผิดร่าง  นอกจากการรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดหรือการอักเสบเพื่อป้องกันการ ลุกลามของโรคแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่น่าจะเป็นประโยชน์

กลูโคซามีนซัลเฟต (Glucosamine sulfate)เป็นสารประกอบที่พบในรูปแบบของยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยทั่วไปมักรับประทานในขนาดวันละ 1500 มิลลิกรัม

   การศึกษาในหลอดทดลองจากการศึกษาในหลอดทดลอง พบว่ากลูโคซามีนซัลเฟตมีผลกระตุ้นการสังเคราะห์และยับยั้งการสลายตัวของโป รติโอไกลแคน (Proteoglycans) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในกระดูกอ่อนที่ทำหน้าที่กันการกระแทกระหว่างกระดูก ข้อ นอกจากนี้กลูโคซามีนยังแสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างอ่อนๆด้วย


ประโยชน์ของ Chondroitin Sulfate

   มีประโยชน์ในการบรรเทาอาการปวดเนื่องจากข้อกระดูกอักเสบ (osteoarthritis / OA) โดยเฉพาะในบริเวณหัวเข่า โดยมีการทดลองกับกลุ่มคนไข้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกข้อเข่าจำนวน 622 คน พบว่ากลุ่มที่ได้รับ Chondroitin Sulfate สามารถลดการสึกหรอของกระดูกอ่อนของข้อได้ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ประโยชน์ของ MSM

   เป็นทั้ง anti-aging antioxidant ช่วยให้ผมยาวเร็ว  สุขภาพดี เล็บแข็งแรง ผิวนุ่ม ผิวแน่น ผิวกระจ่างใส ลด hyperpigmentation กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยdetox ช่วยลดความอ้วน ช่วยทำให้ฮอร์โมนสมดุล เสริมภูมิคุ้มกัน และอื่นๆอีกมากมาย

   ข้อต่อ สารคอรโดรอิทินพบในกระดูกอ่อนบริเวณรอบข้อต่อกระดูกทั่วร่างกาย ช่วยดึงเอาน้ำเข้าสู่เซลล์ในข้อ ทำให้ข้อต่อมีสารช่วยหล่อลื่น กระดูกเคลื่อนที่และเสียดสีกันได้โดยไม่ฝืด และมันทำงานร่วมกับสารกลูโคซามีน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและสารประกอบย่อยอื่นๆ ที่รวมกันเป็นกระดูกอ่อน ผลการศึกษาหลายชิ้นพบว่าเมื่อให้ผลิตภัณฑ์เสริมคอนโดรอิทินซัลเฟตแก่ผู้ป่วย ข้ออักเสษ อาการปวดจะค่อยๆบรรเทาและข้อเคลื่อนไหลได้ดีขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นผลจากการดผลิตกระดูกอ่อนชิ้นใหม่ๆ

---สนใจสั่งซื้อ Joint Soother 240 เม็ดกดที่นี้ครับ---

---สนใจสั่งซื้อ Joint Soother 480 เม็ดกดที่นี้ครับ---

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Echinacea เอคินาเชีย เพิ่มภูมิต้านทาน

Echinacea (เอคินาเชีย)

    เป็นไม้ประดับ มีดอกสีม่วงอมแดง สวยงามมาก มีสรรพคุณ เป็น สมุนไพร รักษาโรคในอเมริกา และยุโรปมานานนับ เกิน ศตวรรษ ในเยอรมัน เป็นสมุนไพรหลักทีนำมาใช้บำบัดการติดเชื้อน้อยๆในระบบทางเดินหายใจ

    การทำงานของ เอคินาเชีย พบว่ามีสาร Phytochemical และ กรดไขมัน อิสรระอีก หลายชนิด ที่มีประโยชน์ โดยช่วยกระตุ้นการทำงานในระบบของภูมิต้านทาน โดยเพิ่มการผลิต แอนตี้บอดี้ และเพิ่มกิจกรรมเม็ดเลือดขาวให้ต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งเม็ดเลือดขาวเหล่านี้ ประกอบด้วย เซลล์ ลิมโฟไซต์ ( ทำหน้าที่ต่อเชื้อไวรัส ) และเซลล์นักฆ่า ( โจมตีเนื้องอก ) และเซลล์แมคโครฟาจ ( กลืนกินแคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค ) ยังมีรายงานว่าดีในเชื้อราด้วย มีคนใช้ในโรคเชื้อราในช่องคลอดก็ยังมี แต่ที่ใช้มากที่สุดคือทางด้านผลดีต่อเชื้อหวัด และแพทย์ที่นั่นนำมาใช้ในโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคหลอดลมอักเสบ ติดเชื้อรา โดยให้เสริมกับยาปัจจุบัน บ้างไม่เสริมบ้างแล้วแต่ความรุนแรงในแต่ละกรณี และทำให้โรคเหล่านี้ดีขึ้น ปัจจุบันในต่างประเทศ เอคินาเชีย ได้มีใส่ในขนม ลูกอม น้ำหวาน และถ้าปริมาณเข้มข้นมากๆจะถูกจัดเป็นยา มีทำในรูปเป็นหยดน้ำให้เติมในน้ำผลไม้และทานเป็นยาก็มี และใช้กันทั่วไปได้ทั้งในหมู่เด็ก และผู้ใหญ่

คุณสมบัติและประโยชน์

    สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เดิมใช้เพื่อบรรเทาอาการอ่อนบนติดเชื้อทางเดินหายใจเช่นหวัดและไข้หวัดใหญ่ อาจร่นระยะเวลาและลดความรุนแรงของอาการเย็น อาจช่วยลดการเกิดหวัด เสริมปริมาณต่ำสำหรับใช้ในระยะยาว


ข้อควรระวัง หรือข้อห้าม

    ข้อห้ามคือคนที่แพ้มัน เช่นทานแล้วคัน คลื่นไส้ ทำนองนี้ ข้อควรระวังไม่ควรทานในคนท้อง ซึ่งยา หรือสมุนไพร ทุกอย่างก็ไม่ควรทานในคนท้องอยู่แล้ว และไม่ควรทานในโรคเอดส์ และวัณโรค และโรค มัลติเปิ้ลเสครอโรสิส ( multiple sclerosis เป็นโรคทางระบบประสาทเช่นมี อัมพาต ตาบอด หายากมาก ๆครับ )


---สนใจสั่งซื้อ Echinacea กดที่นี้ครับ---

SOD Superoxide Dismutase บำรุงผิว ต้านมะเร็ง อีกมากมาย


SOD (Superoxide Dismutase)

เสริมการสร้างกลูต้าไธโอนในร่างกายทำให้ขาวได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
แนะนำทานควบคู่ กลูต้าไธโอน หรือ ทานควบคู่ NAC คะเพื่อเร่งให้ผิวขาวขึ้น

SOD มีประโยชน์และสำคัญอย่างไร?

    ปรับสภาพผิวให้เนียนนุ่ม และชะลอการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนทางผิวหนัง เสริมสร้างให้ผิวมีความ ยืดหยุ่น ไม่แห้งขจัดริ้วรอยด่างดำ สิว กระ ฝ้า อาการคันที่ผิวหนัง และการสูญเสีย คอลลาเจน
สมานผิวจากการเป็นแผล ริ้วรอยที่เกิดจากสิวเสี้ยน ลดรอยแผลเป็นให้จางลง
เสริมสุขภาพ บำรุง และเสริมความสมดุลของร่างกาย ชะลอการแก่ก่อนวัย

ประสิทธิภาพ

    ขจัดอนุมูลอิสระในเลือด ปกป้องคลอลาเจน คงความชุ่มชื้นแก่ผิว
ชะลอการเปลี่ยนแปลงโปรตีนทางผิว คงความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ

ประโยชน์ด้านความงาม

    ปรับสภาพผิวให้ขาวนวลเนียน สว่าง กระจ่าง สดใส ไร้กระ,ฝ้า,จุดด่างดำ ลดริ้วรอยแผลเป็นให้จางลง

ประโยชน์ด้านการเสริมสุขภาพ

    มีสารต้านมะเร็งสูง ทำให้ช่วยป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็ง ลดคอเลสเตอรอล ช่วยในเรื่องระบบการไหลเวียนของโลหิต ระบบการย่อยอาหาร ลดความดัน รวมทั้งช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ชะรอความเสื่อมสภาพของการทำงานของอวัยวะ ความชรา

---สนใจสั่งซื้อ SOD กดที่นี้ครับ---

L-Arginine L-Lysine L-Ornithine กรดอะมิโน จำเป็นสำหรับร่างกาย


ประโยชน์ของ L-Arginine (แอล-อาร์จินีน)

  เป็นกรดอมิโนที่จำเป็นชนิดหนึ่ง ที่มีการค้นคว้าวิจัยอย่างมากในสามสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าเป็นสารอาหารที่จำเป็นในเรื่องสุขภาพทางเพศทั้งในชายและหญิง L-Arginine หากมีปริมาณต่ำจะทำให้ประสิทธิภาพทางเพศและความต้องการทางเพศลดลง L-Arginine ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตเข้าสู่ระบบและปรับปรุงความไวต่อความรู้สึกของ เซลล์ ซึ่งนำมาซึ่งความรู้สึกที่ดี นอกจากนั้นยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้น Human Growth Hormone (HGH) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า L-Arginine ช่วยเพิ่มโกรทฮอร์โมนได้ถึง 300 %

- กระตุ้นการหลั่ง Human Growth Hormone (HGH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตของร่างกาย(ซึ่งร่างกายก็ จะได้ประโยชน์จากโกรทฮอร์โมนอีกหลายอย่างเช่น ช่วยให้มีพลังงานตลอดวัน ดูหนุ่มดูสาว สดชื่น แข็งแรง)
- เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนต่างๆอีกหลายชนิด
- ลดและควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ
- ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- ช่วยเยียวยา รักษาเนื้อเยื่ออ่อน ทำให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวเร็วขึ้น
- กล้ามเนื้อแข็งแรง เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย
- เป็นสารตั้งต้น ในการสร้าง Nitric Oxide ซึ่งจะช่วยเรื่องการไหลเวียนและการสูบฉีดโลหิตของร่างกายโดยการเพิ่มการขยาย ตัวของหลอดเลือด และกล้ามเนื้อจะรับสารอาหารและออกซิเจนได้มากขึ้น
- ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศที่ดี เพิ่มสมรรถภาพทางเพศชาย เพิ่มจำนวนเชื้ออสุจิ ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคุณกับคู่รัก


ประโยชน์ L-Lysine (
แอล-ไลซีน)
  
   เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ต้องทานอาหารเข้าไปเสริมทดแทน พบในอาหารจำพวกถั่ว, เนื้อหมู, เนื้อปลา, เนื้อสัตว์ปีก, นม ใช้เสริมให้กับผู้ป่วยโรคหวัดและเสริมเพื่อเร่งฟื้นฟูร่างกายให้หายเร็วขึ้น  

- จำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างโปรตีน
- เสริมสร้างการเจริญเติบโตของกระดูกและร่างกาย, ช่วยการดูดซึมแคลเซียม
- ควบคุมระดับไนโตรเจนให้สมดุล
- เสริมสร้างการผลิตแอนตี้บอดี้ฮอร์โมน, เอ็นไซม์, คอลลาเจน, การซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- ลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในกระแสเลือด


ประโยชน์ของ Ornithine (แอล-ออร์นิทีน)

- แอล-ออร์นิทีน  คือกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง
- ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กำจัดของเสียสารพิษออกจากตับ เป็นแหล่งพลังงานสำรองของทุกเซลล์ในร่างกายส่งเสริมภูมิคุ้มกัน
- รวมทั้งซ่อมแซมส่วนสึกหรอ
- แหล่งอาหารที่พบ แอล-ออร์นิทีน ได้แก่เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์ นม ไข่

---สนใจสั่งซื้อ Tri-Amino กดที่นี้ครับ---

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Vitamin E วิตามินอี มีประโยน์อย่างไรบ้าง

วิตามินอี (Vitamin E)

      วิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกายคนเราอย่างยิ่ง ช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อสู้กับความเจ็บป่วยได้

      ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รวบรวมวิตามินได้ประมาณ 13 ชนิด หนึ่งในนั้นได้แก่ วิตามินอี ที่เรามักได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือในด้านการป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ชรา ดังนั้นนอกจากในอาหารแล้ว ยังพบว่ามีการสกัดวิตามินอีมาผสมในเครื่องสำอางหลายชนิด คราวนี้จึงขอพาคุณทำความรู้จักกับวิตามินอี และประโยชน์ต่อร่างกายคนเราให้มากขึ้น

วิตามินอี คืออะไร?


   วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol)

ประโยชน์ของวิตามินอีต่อร่างกาย

      เนื่องจากผนังของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นโครงสร้างหลัก โครงสร้างที่ว่านี้จะถูก ทำลายได้ง่ายด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (oxidation) และส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ชนิดต่างๆ ตามมา ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างภายในเซลล์ที่สัมผัสกับสารอนุมูลอิสระ วิตามินอี เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ (potent antioxidant) ซึ่งมีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ยังมีผลช่วยปกป้องการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ (stabilize) ที่บุอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา ตับ เต้านม หลอดเลือด และเม็ดเลือดแดง ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความคงทนมากขึ้นด้วย

วิตามินอีกับโรคมะเร็ง

      คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการทำลายของปฏิกิริยาออกซิเดชันและการเกิดอนุมูลอิสระแล้ว วิตามินอียังช่วยป้องกันการเกิดสารไนโตรซามีน (nitrosamines) ตัวการหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเกิดจากการทำปฏิกิริยาของสารจำพวกไนไตรท์ที่มีในอาหารที่รับประทานเข้าไปภายในกระเพาะอาหาร และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย นอกจากนี้การศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าวิตามินอียังมีผลช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งได้

วิตามินอีกับการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง

      กระบวนการออกซิเดชันของไขมันชนิด LDL (low density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันชนิดเลวในเลือดจะ มีผลทำให้เส้นเลือดเกิดความเสียหายอย่างมาก มีหลักฐานที่แสดงว่าวิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดกระบวนการที่ว่านี้ และช่วยลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด (platelet aggregation) ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น และยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงหลอดเลือดสมองด้วย โดยได้มีการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่าคนที่ได้รับวิตามินอีอย่างน้อยวันละ 100 IU หลังการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจจะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันที่ผนังเลือดได้ และคนที่ได้รับวิตามินอีประมาณวันละ 400-800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยปีครึ่งจะช่วยป้องกันอัตราการเกิดโรคหัวใจวายได้ถึง 77%

  วิตามินอีกับโรคเบาหวาน

      เชื่อกันว่าสาเหตุที่คนเป็นโรคเบาหวานจะมีการสะสมของสารอนุมูลอิสระเนื่องจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายผิดปกติ นอกจากนี้แล้วยังมีอัตราการตายจากการเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้สูง มีงานวิจัยที่แสดงว่าคนเป็นโรคเบาหวานที่รับประทานวิตามินอีเพียงวันละ 100 IU จะช่วยทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้ดี และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือดอีกด้วย

  วิตามินอีกับโรคต้อกระจก

      โรคต้อกระจก (cataracts) เป็นความผิดปกติของเลนส์ตาทำให้มองภาพไม่ชัดเจน และอาจตาบอดได้ โดยเชื่อว่าเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่ผิดปกติของโปรตีนในเลนส์ตา มีการศึกษาพบว่าสารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระจำพวกวิตามินอีสามารถช่วยป้องกัน และชะลอการเกิดของโรคต้อกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พบว่าสารในกลุ่มนี้ไม่ช่วยให้เกิดผลดีได้ในคนที่สูบบุหรี่ โดยพบว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดโรคต้อกระจก อย่างไรก็ดีจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกของสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินอีเกี่ยวกับโรคต้อกระจก

  วิตามินอี สารอาหารที่ช่วยชะลอความแก่

      สารอนุมูลอิสระจะมีผลทำให้เซลล์เกิดความเสียหายและตายได้ในที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นสาเหตุทำให้ ร่างกายอ่อนแอและแก่เร็วกว่าปกติแล้ว หากเกิดที่สมองก็จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังทางสมองต่างๆ เช่น โรคสมองเสื่อม (Alzheimer’s disease) โรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) เป็นต้น จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินอี 1,300 IU ต่อวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้

  วิตามินอีช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของระบบสืบพันธุ์

      มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับวิตามินอีวันละ 800 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน สามารถช่วยลดอาการต่างๆ เช่น อาการร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า ซึมเศร้า และเจ็บหน้าอกได้ นอกจากนี้ในผู้ชายที่มีระบบสืบพันธุ์ไม่สมบูรณ์ พบว่าเมื่อได้รับวิตามินอี วันละ 200 IU อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน จะมีโอกาสมีบุตรสูงขึ้น เนื่องจากวิตามินอีช่วยลดระดับของอนุมูลอิสระในน้ำอสุจิ จึงทำให้ผนังเซลล์อสุจิแข็งแรงขึ้น และส่งผลให้มีอัตราการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นถึง 30% แต่ก็อาจไม่ปรากฏผลหากคนนั้นเป็นคนสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายความแข็งแรงของอสุจิ และอาจทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสื่อมโทรมลง

  วิตามินอีกับผิวพรรณ

      สถาบันโรคผิวหนังหลายแห่งมีการวิจัยพบว่าวิตามินอีช่วยป้องกันผิวจากการไหม้เกรียม ริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือการทาที่ผิวหนังโดยตรง เนื่องจากการเกิดแผลหรือการอักเสบบนผิวหนัง หรือการถูกแสงแดดเผาไหม้จะทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระขึ้น วิตามินอีจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำที่ดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสียหาย จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น และช่วยให้ทนต่อรังสี UV ในแสงแดดได้ดีขึ้น ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องสำอางจึงนิยมนำวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์

---สนใจสั่งซื้อวิตามินอีกดที่นี้ครับ---

วิตามินอีหลายชนิด